ในช่วงปี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๗ ศาลยุติธรรมต้องจัดการกับคดีแพ่งและคดีอาญาเป็นจำนวน มากกว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ คดี ในแต่ละปี โดยมีทรัพยากรบุคคลที่จํากัด กล่าวคือ มีจำนวนผู้พิพากษา ๔,๓๒๙ คน และเจ้าหน้าที่ ๘,๘๖๐ คน จำนวนคดีในแต่ละปีดังกล่าวเป็นจำนวนคดีที่ศาลฎีกาต้อง พิจารณาไม่น้อยกว่าปีละ ๓๓,๐๐๐ คดี ซึ่งผู้พิพากษาศาลฎีกาและผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา รวมกันมีเพียง ๑๗๒ คน เท่านั้น จากตัวเลขดังกล่าวทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจำนวนคดีกับจำนวน ผู้พิพากษาไม่ได้สัดส่วนกันเป็นอย่างมาก ทำให้การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาให้แล้วเสร็จ ภายในเวลาอันควรนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก สถิติการพิจารณาคดีแล้วเสร็จของศาลฎีกา ในช่วงปี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๗ เฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ ๔๐.๙ ของคดีในแต่ละปี และไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ ระยะเวลาเฉลี่ยที่ศาลฎีกาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี การพิจารณาคดีที่ล่าช้าไม่เสร็จภายในเวลาอันควรกระทบต่อความเชื่อถือและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันศาลโดยตรง การบริหารศาลยุติธรรมด้วยวิธีการใหม่ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่งและการเปลี่ยนแปลงศาลยุติธรรมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในบทความนี้ผู้เขียนหยิบยกการเปลี่ยนแปลงของศาลยุติธรรมที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๘ จำนวน ๓ เรื่อง ที่สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของศาลยุติธรรมขึ้นมานำเสนอและวิเคราะห์ ได้แก่ ๑. การเปลี่ยนแปลงระบบฎีกาในคดีแพ่ง ๒. การจัดตั้งแผนกคดีพิเศษในศาลอาญา และ ๓. พัฒนาการล่าสุดของศาลอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย