สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทําให้อัตราการก่อเหตุ อาชญากรรมที่กระทําโดยเด็กและเยาวชนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คดีอาญาที่เด็กหรือเยาวชน เป็นผู้กระทําความผิดนั้นมีความแตกต่างจากคดีอาญาประเภทอื่น ด้วยเหตุนี้ กระบวนการ ยุติธรรมอาญาที่ใช้ในคดีที่เด็กหรือเยาวชนเป็นผู้กระทําผิดจึงมีความแตกต่างจาก กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ใช้แก่คดีทั่วไป เช่น การลงโทษเด็กหรือเยาวชนที่กระทํา ความผิดอาญานั้น จึงต้องคํานึงถึงการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเสียหายจาก อาชญากรรมและใช้กระบวนการแก้ไขเพื่อให้เด็กหรือเยาวชนที่มีปัญหากลับคืนเป็นคนดีได้ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้นํามาตรการพิเศษ ได้แก่ การหันเหคดีมาใช้กับคดีที่เด็กและ เยาวชนทําความผิดอาญา โดยหลักการดังกล่าวได้บัญญัติอยู่ในมาตรา ๙๐ พระราชบัญญัติ ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ซึ่งกําหนดหลักเกณฑ์ ๆ ต่าง ๆ ที่ให้ศาลทําแผนแก้ไขบําบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทําความผิดได้โดยไม่ใช้การลงโทษ บทความนี้จะได้กล่าวถึงที่มา ความจําเป็นและเหตุผล และเนื้อหาสาระของมาตรการดังกล่าว โดยละเอียด

The constantly evolving society is one of the factors that cause juvenile to commit a crime. Criminal offenses committed by juvenile are different by nature from those committed by adults. Therefore, the criminal justice system used in the juvenile cases is different. For example, the criminal sanctions imposed on juvenile aim for restoration. Moreover, the policy to deviate criminal punishment is used in the Juvenile and Family courts in Thailand. Under the Act for Establishment of and Procedure for Juvenile and Family Court (1991), such a policy is set out in Article 90 which allows a court to impose a feasible plan for restoration, if certain criteria are met. Imposing such a plan, instead of criminal sanction, is believed to allow juvenile defendants to safely return to the society. This article will explain the reasoning behind the policy to deviate criminal punishment used in Juvenile and Family courts in Thailand and give a detailed explanation of the policy.